ทำไม?
ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล

อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment – PPE) คือ อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้ปฏิบัติงานจากอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตได้ PPE ถือเป็นปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันอันตรายหลังจากที่ได้พยายามควบคุมอันตรายด้วยวิธีอื่น ๆ แล้ว (เช่น การควบคุมทางวิศวกรรม หรือการควบคุมทางการบริหารจัดการ)

ประเภทของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) และการใช้งาน

PPE มีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยหลักๆ สามารถแบ่งได้ดังนี้:

  1. อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ (Head Protection Devices):
    • หมวกนิรภัย (Hard Hats): ใช้ป้องกันศีรษะจากการกระแทก วัตถุตกหล่น สารเคมีกระเด็น หรือไฟฟ้า มักใช้ในงานก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อวัตถุตกจากที่สูง
  2. อุปกรณ์ป้องกันดวงตาและใบหน้า (Eye and Face Protection Devices):
    • แว่นตานิรภัย (Safety Glasses): ป้องกันดวงตาจากเศษวัสดุกระเด็น ฝุ่นละออง สารเคมี หรือแสงจ้า
    • แว่นครอบตา (Goggles): ให้การป้องกันที่ครอบคลุมดวงตามากกว่าแว่นตานิรภัย เหมาะสำหรับงานที่มีความเสี่ยงสูงจากสารเคมีกระเด็น หรือฝุ่นฟุ้งกระจายมาก
    • กระบังหน้า (Face Shields): ป้องกันใบหน้าและดวงตาจากสารเคมีกระเด็น สะเก็ดไฟ ความร้อน หรือสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ มักใช้ร่วมกับแว่นตานิรภัย
  3. อุปกรณ์ป้องกันหู (Hearing Protection Devices):
    • ปลั๊กอุดหู (Earplugs): ลดเสียงรบกวน เหมาะสำหรับงานที่มีเสียงดังไม่มาก
    • ที่ครอบหู (Earmuffs): ลดเสียงรบกวนได้มากกว่าปลั๊กอุดหู เหมาะสำหรับงานที่มีเสียงดังมาก
  4. อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Protection Devices):
    • หน้ากากกรองฝุ่น/อนุภาค (Particulate Respirators): เช่น N95 ใช้ป้องกันการสูดดมฝุ่นละออง PM 2.5 อนุภาคเล็กๆ
    • หน้ากากกรองสารเคมี/ไอระเหย (Chemical/Vapor Respirators): มีตลับกรองเฉพาะสำหรับสารเคมีแต่ละชนิด ใช้ป้องกันการสูดดมก๊าซ ไอระเหย หรือสารเคมีอันตราย
    • หน้ากากกันแก๊สพิษ (Gas Masks): ให้การป้องกันที่ครอบคลุมมากขึ้นจากก๊าซพิษหรือสารอันตรายในอากาศ
    • ชุดอุปกรณ์ช่วยหายใจ (Self-Contained Breathing Apparatus – SCBA): ให้อากาศบริสุทธิ์จากถัง ใช้ในกรณีที่มีปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอหรือมีสารพิษสูงมาก
  5. อุปกรณ์ป้องกันมือและแขน (Hand and Arm Protection):
    • ถุงมือนิรภัย (Safety Gloves): มีหลายชนิดตามการใช้งาน เช่น:
      • ถุงมือหนัง: ป้องกันการบาด เฉือน ขูดขีด ความร้อนระดับปานกลาง เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง งานโลหะ
      • ถุงมือผ้า: ป้องกันสิ่งสกปรกทั่วไป หรือของมีคมเล็กน้อย
      • ถุงมือยาง (ลาเท็กซ์, ไนไตร, นีโอพรีน): ป้องกันสารเคมี ของเหลว ชีวภาพ เหมาะสำหรับงานในห้องปฏิบัติการ งานแพทย์ งานทำความสะอาด
      • ถุงมือกันความร้อน/ไฟ: ใช้ในงานเชื่อม งานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนสูง
      • ถุงมือกันไฟฟ้า: ใช้ในงานไฟฟ้า
  6. อุปกรณ์ป้องกันเท้า (Foot Protection):
    • รองเท้านิรภัย (Safety Boots/Shoes): มีหัวเหล็ก (Steel Toe) หรือวัสดุคอมโพสิต ป้องกันเท้าจากการถูกทับ กระแทก ของมีคมทะลุพื้นรองเท้า กันลื่น กันไฟฟ้า หรือสารเคมีกระเด็น
  7. อุปกรณ์ป้องกันลำตัว (Body Protection Equipment):
    • ชุดหมี/ชุดคลุม (Coveralls/Overalls): ป้องกันร่างกายจากฝุ่น สารเคมีกระเด็น สิ่งสกปรก
    • เสื้อสะท้อนแสง (High-Visibility Clothing): เพิ่มการมองเห็นให้ผู้ปฏิบัติงานในที่มืด หรือมีแสงน้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการจราจร หรือเครื่องจักรทำงาน
    • เสื้อกันเปื้อน (Aprons): ป้องกันสารเคมี ของเหลว หรือสิ่งสกปรกเฉพาะส่วน
  8. อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูง (Fall Protection Equipment):
    • เข็มขัดนิรภัยแบบเต็มตัว (Full Body Harness): ใช้รัดตัวผู้ปฏิบัติงานและเชื่อมต่อกับสายช่วยชีวิต (Lanyard) เพื่อป้องกันการตกจากที่สูง มักใช้ในงานก่อสร้าง งานบำรุงรักษาอาคารสูง

การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่เหมาะสม

การเลือกใช้ PPE ที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรพิจารณาดังนี้:

  1. ประเมินความเสี่ยง: วิเคราะห์อันตรายที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงาน (เช่น สารเคมี ฝุ่น เสียงดัง ความร้อน วัตถุมีคม การตกจากที่สูง)
  2. ประเภทของงาน: พิจารณาลักษณะงานที่ต้องทำ และอันตรายที่เกี่ยวข้อง
  3. ความรุนแรงของอันตราย: ความรุนแรงและความถี่ในการสัมผัสอันตราย
  4. มาตรฐาน: เลือก PPE ที่ได้มาตรฐานการรับรองที่เชื่อถือได้ เช่น มาตรฐาน มอก. (TIS) ของไทย, ANSI (American National Standards Institute), EN (European Standards), ISO (International Organization for Standardization), OSHA (Occupational Safety and Health Administration) หรือ JIS (Japanese Industrial Standards)
  5. ขนาดและความพอดี: PPE ต้องมีขนาดพอดีกับผู้สวมใส่ ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานและมีประสิทธิภาพในการป้องกัน
  6. ความสะดวกสบาย: ควรเลือก PPE ที่สวมใส่สบาย ไม่เป็นภาระต่อผู้สวมใส่ เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
  7. ความทนทานและการบำรุงรักษา: พิจารณาวัสดุที่ใช้ ความทนทาน และการบำรุงรักษาที่ง่าย

ข้อควรปฏิบัติในการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล

  • ตรวจสอบ PPE ก่อนใช้งานทุกครั้งว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ชำรุด
  • สวมใส่ PPE ให้ถูกวิธีและตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง
  • ทำความสะอาดและบำรุงรักษา PPE ตามคำแนะนำของผู้ผลิต
  • เปลี่ยน PPE เมื่อชำรุด หรือหมดอายุการใช้งาน
  • ผู้ปฏิบัติงานต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการเลือกใช้ การสวมใส่ การบำรุงรักษา และข้อจำกัดของ PPE อย่างถูกต้อง

การใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างถูกวิธีและเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บและสร้างความปลอดภัยในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ