การตรวจวัดก๊าซและไอระเหย
การตรวจวัดก๊าซและไอระเหยเป็นการประเมินปริมาณสารเคมีในอากาศ เพื่อป้องกันอันตรายจากสารพิษหรือสารที่อาจก่อให้เกิดการระเบิดหรือติดไฟได้ ซี่งมีรายละเอียดดังนี้
1. คุณสมบัติของก๊าซและไอระเหย
- ก๊าซ (Gas): สารที่อยู่ในสถานะก๊าซที่อุณหภูมิและความดันปกติ ซึ่งจะคงสภาพเป็นก๊าซอยู่เสมอ เช่น ออกซิเจน, ไฮโดรเจน และคาร์บอนมอนอกไซด์
- ไอระเหย (Vapor): สารที่ปกติเป็นของเหลวหรือของแข็ง แต่สามารถระเหยกลายเป็นก๊าซได้ที่อุณหภูมิห้อง เช่น ไอระเหยของน้ำมันเบนซินหรือแอลกอฮอล์
คุณสมบัติที่สำคัญที่ใช้ในการวัดได้แก่: - ความเข้มข้น (Concentration): ปริมาณของก๊าซหรือไอระเหยในอากาศ มักแสดงในหน่วย ส่วนในล้านส่วน (ppm) หรือ ส่วนในพันล้านส่วน (ppb)
- ค่าขีดจำกัดความสามารถในการระเบิด (Explosive Limits): ขอบเขตความเข้มข้นของก๊าซหรือไอระเหยในอากาศที่สามารถติดไฟหรือระเบิดได้ โดยมีค่าขีดจำกัดต่ำสุด (LEL) และค่าขีดจำกัดสูงสุด (UEL)
2. วัตถุประสงค์ของการตรวจวัดก๊าซและไอระเหย
การตรวจวัดก๊าซและไอระเหยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:
- ความปลอดภัยในพื้นที่อับอากาศ: ใช้ตรวจวัดระดับออกซิเจน, ก๊าซพิษ หรือก๊าซที่ติดไฟได้ในสถานที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี เช่น ท่อระบายน้ำ, ถังน้ำมัน หรืออุโมงค์
- อาชีวอนามัยและความปลอดภัย: เพื่อประเมินการสัมผัสสารเคมีของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม และให้แน่ใจว่าค่าความเข้มข้นอยู่ในระดับที่ปลอดภัย
- การควบคุมสิ่งแวดล้อม: เพื่อเฝ้าระวังการรั่วไหลของก๊าซพิษจากโรงงาน หรือแหล่งอุตสาหกรรม
3. มาตรฐานการตรวจวัดก๊าซและไอระเหย
มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวัดก๊าซและไอระเหยมีทั้งในระดับสากลและระดับประเทศ โดยจะกำหนด ค่าขีดจำกัดการสัมผัสในระยะเวลาทำงาน (Occupational Exposure Limits, OELs) ซึ่งเป็นระดับความเข้มข้นสูงสุดของสารเคมีที่อนุญาตให้คนทำงานสัมผัสได้ในแต่ละช่วงเวลา มาตรฐานเหล่านี้รวมถึง:
- ค่าเฉลี่ยตลอดระยะเวลาทำงาน (Time-Weighted Average, TWA): ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของสารเคมีที่ผู้ปฏิบัติงานสัมผัสตลอด 8 ชั่วโมงการทำงาน
- ค่าขีดจำกัดระยะสั้น (Short-Term Exposure Limit, STEL): ค่าความเข้มข้นสูงสุดที่อนุญาตให้สัมผัสได้ในระยะเวลาสั้นๆ (มักเป็น 15 นาที)
ในประเทศไทย กฎหมายและมาตรฐานเหล่านี้ถูกกำหนดโดย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครับ
4. เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดก๊าซและไอระเหย
เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดก๊าซและไอระเหยมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่ต้องการวัด:
- เครื่องตรวจจับก๊าซ (Gas Detector): มีทั้งแบบพกพาและแบบติดตั้งถาวร สามารถตรวจจับได้ทั้งก๊าซที่ติดไฟได้, ก๊าซพิษ และระดับออกซิเจน
- เครื่องเก็บตัวอย่างอากาศ (Air Sampling Pump): ใช้สำหรับเก็บตัวอย่างอากาศจากพื้นที่ทำงานลงในถุงเก็บตัวอย่างหรือหลอดดูดซับสาร เพื่อนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ
- เซ็นเซอร์เฉพาะสำหรับสารเคมี (Specific Chemical Sensor): ใช้ในการตรวจจับสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น เซ็นเซอร์สำหรับไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) หรือคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO)
5. การป้องกันอันตรายจากก๊าซและไอระเหย
การป้องกันอันตรายจากก๊าซและไอระเหยควรยึดหลักการควบคุมจากแหล่งกำเนิดเป็นอันดับแรก:
- การควบคุมทางวิศวกรรม: ปรับปรุงระบบระบายอากาศ, ติดตั้งระบบดูดอากาศเฉพาะที่ หรือใช้กระบวนการผลิตแบบปิดเพื่อป้องกันการรั่วไหล
- การบริหารจัดการ: จำกัดระยะเวลาการทำงานในพื้นที่เสี่ยง, กำหนดขั้นตอนการทำงานที่ปลอดภัย และจัดทำป้ายเตือน
- อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): สวมใส่ หน้ากากป้องกันแก๊สพิษ (Gas Mask) หรือ ชุดหายใจแบบมีถังอากาศ (SCBA) ในกรณีที่ต้องทำงานในพื้นที่ที่มีความเข้มข้นของสารเคมีสูงเกินค่ามาตรฐาน




