อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ 

คืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันศีรษะจากอันตรายต่าง ๆ เช่น วัตถุตกใส่ แรงกระแทก สะเก็ดไฟ ความร้อน หรือไฟฟ้า โดยเฉพาะในสถานที่ทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น งานก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม เหมือง งานติดตั้งอุปกรณ์บนที่สูง หรืองานไฟฟ้า

ญ1. มาตรฐานสำหรับหมวกนิรภัยอุตสาหกรรม (Safety Helmets for Industrial Use)

  • มอก. 368-2554 (ประเทศไทย): เป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับหมวกนิรภัยที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม กำหนดคุณสมบัติและการทดสอบต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าหมวกสามารถป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับศีรษะได้ เช่น การกระแทก การเจาะทะลุ การต้านทานการติดไฟ และการป้องกันแรงบีบข้าง
  • ANSI Z89.1 (สหรัฐอเมริกา): เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม แบ่งประเภทหมวกนิรภัยตามลักษณะการป้องกันดังนี้:
    • ประเภท 1 (Type I): ออกแบบมาเพื่อต้านทานแรงกระแทกและการเจาะทะลุที่ตกลงบนยอดหมวกเป็นหลัก (เช่น งานก่อสร้าง)
    • ประเภท 2 (Type II): ออกแบบมาเพื่อต้านทานแรงกระแทกและการเจาะทะลุทั้งที่ตกลงบนยอดหมวกและด้านข้างหมวก (เช่น ถูกวัตถุแข็งฟาด ดีด หรือตีด้านข้าง)
    • Class G (General): หมวกนิรภัยที่ใช้ลดแรงกระแทกและลดอันตรายจากการสัมผัสกับตัวนำไฟฟ้าแรงดันต่ำ (ทนแรงดันไฟฟ้าทดสอบ 2,200 V)
    • Class E (Electrical): หมวกนิรภัยที่ใช้ลดแรงกระแทกและลดอันตรายจากการสัมผัสกับตัวนำไฟฟ้าแรงดันสูง (ทนแรงดันไฟฟ้าทดสอบ 20,000 V)
    • Class C (Conductive): หมวกนิรภัยที่ไม่ป้องกันกระแสไฟฟ้า
  • EN 397 (ยุโรป): มาตรฐานสำหรับหมวกนิรภัยที่ใช้ในอุตสาหกรรม กำหนดข้อบังคับการทดสอบสำหรับการดูดซับแรงกระแทก การป้องกันแรงเจาะทะลุ การต้านทานการติดไฟ และการป้องกันแรงบีบข้าง

มาตรฐานสำหรับหมวกนิรภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ (Motorcycle Helmets)

  • มอก. 369-2557 (ประเทศไทย): เป็นมาตรฐานสำหรับหมวกนิรภัยสำหรับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งมีการปรับปรุงมาจาก มอก. 369-2539 เพื่อให้สอดคล้องกับความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น กำหนดคุณสมบัติต่างๆ เช่น ต้องไม่บดบังการได้ยิน ต้องมีช่องระบายอากาศ (สำหรับหมวกเต็มใบ) สายรัดคางต้องมีความกว้างอย่างน้อย 20 มม. และต้องยึดติดกับหมวกอย่างถาวร
  • ECE 22-06 (ยุโรป): เป็นมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับหมวกนิรภัยรถจักรยานยนต์ที่ใช้บนถนนสาธารณะในยุโรป เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่เข้มงวดกว่า ECE 22-05 โดยมีการทดสอบการกระแทกในความเร็วและทิศทางที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการทดสอบการเร่งแบบหมุน (rotational acceleration)
  • DOT (U.S. Department of Transportation – สหรัฐอเมริกา): เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอเมริกาเหนือ
  • Snell (Snell Memorial Foundation – สหรัฐอเมริกา): เป็นมาตรฐานที่เข้มงวดกว่า DOT โดยเป็นมาตรฐานที่สมัครใจ ไม่ใช่ข้อบังคับทางกฎหมาย แต่เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะในหมวกสำหรับกีฬาแข่งรถ
  • AS/NZS 1698 (ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์): มาตรฐานสำหรับหมวกนิรภัยในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
  • BIS (Bureau of Indian Standards – อินเดีย): มาตรฐานที่กำหนดในประเทศอินเดีย

ประเด็นสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับมาตรฐานหมวกนิรภัย:

  • การทดสอบ: หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานจะต้องผ่านการทดสอบต่างๆ เช่น การทดสอบแรงกระแทก (impact absorption), การทดสอบการเจาะทะลุ (penetration resistance), การทดสอบการต้านทานไฟ (flammability resistance), และการทดสอบความแข็งแรงของสายรัดคาง (retention system strength)
  • ประเภทของหมวก: หมวกนิรภัยมีหลายประเภท เช่น หมวกเต็มใบ (Full-Face), หมวกยกคาง (Modular/Flip-up), หมวกเปิดหน้า (Open-Face/3/4), หมวกวิบาก (MX/Off-Road), และหมวกครึ่งใบ (Half-Face) ซึ่งแต่ละประเภทเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน และระดับการป้องกันก็แตกต่างกันด้วย
  • การเลือกซื้อ: ควรเลือกหมวกนิรภัยที่มีเครื่องหมายมาตรฐานที่เชื่อถือได้และเหมาะสมกับการใช้งานของคุณเสมอ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าหมวกมีขนาดที่พอดีกับศีรษะ

การเลือกใช้หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานและถูกต้องตามประเภทการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะ และช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ