การตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยิน
การตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยินเป็นการประเมินความสามารถในการได้ยินเสียงของผู้คน เพื่อวินิจฉัยและป้องกันปัญหาการได้ยินที่อาจเกิดขึ้นได้. ซี่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ความสำคัญของการตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยิน
การได้ยินที่ดีมีความสำคัญต่อการสื่อสาร, การเรียนรู้ และการรับรู้สิ่งรอบข้างอย่างปลอดภัย. การสูญเสียการได้ยินอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต, การทำงาน, และความสัมพันธ์ทางสังคม. การตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยินจึงช่วยให้เราสามารถค้นหาและแก้ไขปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
2. วัตถุประสงค์ของการตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยิน
วัตถุประสงค์หลักของการตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยินคือ:
- คัดกรองปัญหาการได้ยิน: เพื่อตรวจหาการสูญเสียการได้ยินในกลุ่มเสี่ยง เช่น ทารกแรกเกิด, ผู้สูงอายุ, หรือผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
- วินิจฉัยโรค: เพื่อระบุชนิดและระดับของการสูญเสียการได้ยิน เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
- ประเมินผลการรักษา: เพื่อติดตามผลของการรักษา, การใส่เครื่องช่วยฟัง หรือการผ่าตัด
- ความปลอดภัยในการทำงาน: เพื่อประเมินว่าพนักงานที่ทำงานในพื้นที่เสียงดังมีภาวะการได้ยินบกพร่องหรือไม่ และกำหนดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
3. มาตรฐานการตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยิน
มาตรฐานการตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยินที่นิยมใช้คือการใช้ เครื่องตรวจวัดการได้ยิน (Audiometer) และจัดทำ แผนภูมิการได้ยิน (Audiogram) โดยมีการกำหนดความดังของเสียงในหน่วย เดซิเบล (dB) และความถี่ของเสียงในหน่วย เฮิรตซ์ (Hz). มาตรฐานการตรวจจะกำหนดค่าเฉลี่ยความดังที่คนปกติสามารถได้ยินในแต่ละความถี่ เพื่อใช้เป็นค่าอ้างอิงในการเปรียบเทียบ
4. เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยิน
เครื่องมือหลักที่ใช้ในการตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยินคือ:
- เครื่องตรวจวัดการได้ยิน (Audiometer): อุปกรณ์ที่สร้างเสียงที่มีความถี่และความดังที่แตกต่างกัน เพื่อใช้ทดสอบการได้ยิน
- ห้องตรวจการได้ยิน (Soundproof Booth): เป็นห้องเก็บเสียงที่ใช้ในการตรวจวัดการได้ยิน เพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ซึ่งจะช่วยให้ผลการตรวจมีความแม่นยำ
- หูฟัง (Headphones): ใช้ในการส่งเสียงจากเครื่องตรวจวัดการได้ยินไปยังหูของผู้เข้ารับการทดสอบ
5. คำแนะนำในการดูแลสุขภาพการได้ยิน
เพื่อรักษาสมรรถภาพการได้ยินให้ดีอยู่เสมอ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:
- หลีกเลี่ยงเสียงดัง: ลดการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมใส่ อุปกรณ์ป้องกันเสียง (Hearing Protection) เช่น ที่อุดหู (earplugs) หรือที่ครอบหู (earmuffs)
- จำกัดการใช้หูฟัง: ลดความดังและจำกัดระยะเวลาการใช้หูฟังส่วนตัว
- ไม่แคะหู: หลีกเลี่ยงการใช้สำลีปั่นหูหรือของแข็งเข้าไปในรูหู เพราะอาจดันขี้หูให้ลึกลงไป หรือทำอันตรายต่อแก้วหูได้
- ตรวจสุขภาพการได้ยินเป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่ทำงานในโรงงานที่มีเสียงดัง หรือผู้สูงอายุ
- ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการผิดปกติ เช่น หูอื้อ, ได้ยินเสียงก้องในหู หรือได้ยินไม่ชัดเจน ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูกทันที




