การตรวจวัดเสียง

เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุและเคลื่อนที่ผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ น้ำ หรือของแข็ง การตรวจวัดเสียงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินและควบคุมผลกระทบของเสียงที่มีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ซี่งมีรายละเอียดังนี้

1. คุณสมบัติของเสียง

คลื่นเสียงมีคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้:

  • ความถี่ (Frequency): คือจำนวนรอบการสั่นของคลื่นเสียงในหนึ่งวินาที มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) เสียงที่มีความถี่ต่ำจะฟังดูทุ้ม ส่วนเสียงที่มีความถี่สูงจะฟังดูแหลม

ได้รับอนุญาตจาก Google

  • ความยาวคลื่น (Wavelength): คือระยะทางระหว่างยอดคลื่นหนึ่งถึงยอดคลื่นถัดไป มีความสัมพันธ์ผกผันกับความถี่
  • แอมพลิจูด (Amplitude): คือความสูงของคลื่นเสียงที่บ่งบอกถึงความดังของเสียง มีหน่วยเป็นเดซิเบล (dB) เสียงที่มีแอมพลิจูดสูงจะดังกว่าเสียงที่มีแอมพลิจูดต่ำ

ได้รับอนุญาตจาก Google

  • ความเร็วเสียง (Speed of Sound): คือความเร็วที่เสียงเดินทางผ่านตัวกลาง โดยความเร็วจะแตกต่างกันไปในแต่ละตัวกลาง เช่น เสียงเดินทางในอากาศได้ช้ากว่าในน้ำหรือของแข็ง

2. วัตถุประสงค์ของการตรวจวัดเสียง

การตรวจวัดเสียงมีวัตถุประสงค์หลักๆ ดังนี้:

  • เพื่อประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ: ใช้ในการประเมินระดับเสียงในสถานที่ทำงานเพื่อป้องกันอันตรายต่อการได้ยินของพนักงาน เช่น โรคหูหนวกจากเสียงดัง
  • เพื่อควบคุมมลภาวะทางเสียง: ใช้ในการประเมินระดับเสียงจากแหล่งกำเนิดต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม การจราจร และสถานที่ก่อสร้าง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
  • เพื่อการวิจัยและพัฒนา: ใช้ในการศึกษาพฤติกรรมของเสียงเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือการออกแบบทางสถาปัตยกรรมให้มีประสิทธิภาพในการดูดซับหรือลดเสียง

3. มาตรฐานการตรวจวัดเสียง

มาตรฐานการตรวจวัดเสียงเป็นข้อกำหนดเพื่อให้การวัดเสียงมีความถูกต้องและเป็นสากล โดยมีหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานต่างๆ เช่น:

  • มาตรฐานสากล: เช่น มาตรฐานของ International Organization for Standardization (ISO) และ International Electrotechnical Commission (IEC)
  • มาตรฐานของประเทศไทย: กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมระดับเสียง เช่น กฎหมายของ กรมควบคุมมลพิษ และ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกำหนดขีดจำกัดความดังของเสียงที่อนุญาตในแต่ละพื้นที่หรือสถานที่ทำงาน

4. เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดเสียง

เครื่องมือหลักที่ใช้ในการตรวจวัดเสียงคือ เครื่องวัดระดับเสียง (Sound Level Meter) ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญดังนี้:

  • ไมโครโฟน: ทำหน้าที่รับคลื่นเสียงและแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า
  • วงจรประมวลผล: วิเคราะห์และประมวลผลสัญญาณเสียง
  • หน้าจอแสดงผล: แสดงค่าระดับความดังของเสียงออกมาเป็นหน่วยเดซิเบล (dB)
  • ตัวกรองความถี่: ปรับการตอบสนองของเครื่องวัดให้ใกล้เคียงกับการรับรู้ของหูมนุษย์ เช่น A-weighting และ C-weighting

 

5. การป้องกันอันตรายจากเสียง

การป้องกันอันตรายจากเสียงสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่:

  • การควบคุมแหล่งกำเนิดเสียง: ลดเสียงที่ต้นทาง เช่น การใช้เครื่องจักรที่มีเสียงเบาลง หรือการติดตั้งแผ่นดูดซับเสียง
  • การควบคุมทางผ่านของเสียง: ป้องกันการแพร่กระจายของเสียง เช่น การสร้างกำแพงกั้นเสียง หรือการปลูกต้นไม้
  • การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่ต้องสัมผัสกับเสียงดังเป็นเวลานาน ควรใช้ ที่อุดหู (Earplugs) หรือ ที่ครอบหู (Earmuffs)
  • การบริหารจัดการ: จำกัดเวลาการทำงานในพื้นที่ที่มีเสียงดัง และจัดให้มีการตรวจสุขภาพการได้ยินอย่างสม่ำเสมอ